ปั๊มน้ำมันสามทหาร ปั๊มน้ำมันแห่งแรกของคนไทยเพื่อคนไทย ดำเนินการโดยองค์การเชื้อเพลิงซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2503 ก่อนที่จะแปรสภาพมาเป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน
12 ปี ภายในรั้ว “น้ำเงินขาว” ของโรงเรียนเซนต์คาเบรียล มีส่วนอย่างยิ่งในการสร้างความรู้พื้นฐานด้านการศึกษาให้แก่ “พีระพันธุ์” ตั้งแต่ระดับประถมจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย
แม้จะมีความฝันอยากเป็นทหารและนักบินขับไล่ในวัยเด็ก แต่เมื่อไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกให้เข้าศึกษาด้านการทหารเพราะมีปัญหาสายตาสั้นในขณะนั้น “พีระพันธุ์” จึงตัดสินใจเดินตามรอย “คุณตา” ด้วยการเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนสำเร็จการศึกษาเป็นนิติศาสตร์บัณฑิตเมื่อปี พ.ศ.2524 และสำเร็จเป็นเนติบัณฑิตไทยในปีถัดมา
จากนั้น “พีระพันธุ์” ได้เดินทางไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยทูเลน สหรัฐอเมริกา และสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโทถึง 2 ด้าน คือ กฎหมายอเมริกันทั่วไป (LL.M.) และกฎหมายเปรียบเทียบ (M.C.L.) ที่สอนให้รู้จักหลักการและความสำคัญของการใช้กฎหมายซึ่งไม่เพียงจะเป็นหลักประกันในการสร้างความเป็นธรรมให้แก่สังคม แต่ยังเป็นหลักประกันที่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมและเปลี่ยนแปลงโลกได้
หลักการที่แน่วแน่
"พีระพันธุ์" เริ่มต้นทำงานในสายตุลาการ โดยผ่านการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรมในปี พ.ศ. 2529 จากนั้นได้ย้ายไปเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดตาก ผู้พิพากษาศาลจังหวัดธัญญบุรี ผู้พิพากษาประจำกระทรวง (ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการกองวิชาการ สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ กระทรวงยุติธรรม) และผู้พิพากษาประจำกระทรวง (ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลแพ่ง) ตามลำดับ
ตลอดเวลานับแต่รับราชการเป็นผู้พิพากษาจนถึงปัจจุบัน “พีระพันธุ์” ได้ยึดหลักการทำงานตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ได้พระราชทานให้ไว้เมื่อครั้งที่เขาได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้พิพากษา นั่นคือ ให้ทำหน้าที่โดยยึดหลักความถูกต้องและความยุติธรรมที่แท้จริงบนพื้นฐานของความซื่อสัตย์สุจริต เพราะความยุติธรรมที่เป็นธรรมอย่างแท้จริงจะทำให้สังคมอยู่ได้ และประเทศก็จะอยู่ได้
พระบรมราโชวาทในครั้งนั้นได้กลั่นมาเป็นหลักคิดในการทำงานทุก ๆ ด้านของ “พีระพันธุ์” นั่นคือ
“ยุติธรรมค้ำจุนชาติ”
นอกจากการทำหน้าที่ผู้พิพากษาแล้ว “พีระพันธุ์”ยังได้รับมอบหมายจากกระทรวงยุติธรรมให้เป็นกรรมาธิการในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหลายฉบับในสภาผู้แทนราษฎร และร่วมทำหน้าที่เสนอความเห็นประกอบการประชุมคณะรัฐมนตรีให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมาแล้วหลายท่านด้วย
จากประสบการณ์ในฐานะผู้พิพากษา “พีระพันธุ์” ได้พบเห็นความทุกข์และความเดือดร้อนของประชาชนอันเกิดจากความไม่รู้กฎหมาย การขาดที่พึ่ง และระบบกฎหมายที่ขาดความยืดหยุ่น
นอกจากนี้ การทำหน้าที่ผู้พิพากษาในบริบทของประเทศไทย คือ การให้ความยุติธรรมภายใต้กฎหมายที่ออกจากรัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ได้อยู่ที่ดุลพินิจของผู้พิพากษาโดยตรง ทำให้มีกฎหมายหลายฉบับที่ยังไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนได้อย่างที่ควรจะเป็น หรือไม่ทันยุคสมัยที่สังคมและเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เหล่านี้คือแรงผลักดันที่ทำให้ “พีระพันธุ์” ตัดสินใจก้าวสู่เวทีการเมือง เพื่อจะได้ทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อร่างและผลักดันกฎหมายให้ศาลสามารถใช้เพื่ออำนวยความยุติธรรมและความเป็นธรรมให้กับประชาชนตามความตั้งใจของเขาได้
เส้นทางการเมือง
“พีระพันธุ์” ลงสมัครชิงเก้าอี้ ส.ส.ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2535 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และถึงแม้จะไม่ได้รับเลือกตั้งในครั้งนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ละทิ้งความตั้งใจและยังคงเดินหน้าทำงานการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. 2535-2536) ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (พ.ศ. 2536-2537) ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พ.ศ. 2537-2538) และที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร (พ.ศ. 2538-2539)
“พีระพันธุ์” ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งในปี พ.ศ. 2539 และได้เป็น ส.ส. สมัยแรก ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ จากนั้นชื่อของ “พีระพันธุ์” ก็ปรากฎอยู่ในทำเนียบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกสมัย ทำให้เขามีโอกาสได้ทำงาน “ออกกฎหมาย” ตามที่ตั้งใจไว้ และเป็นมือกฎหมายผู้มีบทบาทสำคัญในการเสนอและผลักดันกฎหมายสำคัญ ๆ หลายฉบับ อาทิ พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญา ที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 พ.ร.บ.ฮั้วประมูลว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 รวมถึงการเสนอร่างกฎหมายการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภค
ขณะเดียวกัน “พีระพันธุ์” ก็ทำหน้าที่เป็นกรรมาธิการและเลขานุการคณะกรรมาธิการการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน และเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ควบคู่กันไปด้วย
“พีระพันธุ์” ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.สมัยที่ 2 ในปี พ.ศ. 2544 และได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบคนแรกของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติจากการทุจริตต่างๆ คิดเป็นมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นการสอบทุจริตการจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ปลอมซึ่งศาลพิพากษาจำคุกผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด หรือการสอบทุจริตการจัดซื้ออาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME Bank) ที่ช่วยรัฐไม่ต้องสูญเสียเงิน 400 ล้านบาท รวมไปถึงคดี “ค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้าน” ซึ่ง“พีระพันธุ์” ได้ทำการสอบสวนอย่างยาวนานกว่าหนึ่งปี แต่ก็คุ้มค่าเพราะอัยการสามารถนำผลการสอบสวนไปเป็นพยานหลักฐานต่อสู้คดีในศาลจนชนะคดีในที่สุด
ในปี พ.ศ. 2548 “พีระพันธุ์” ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยที่ 3 ในระบบบัญชีรายชื่อ และหลังการยุบสภาฯ ในปี พ.ศ.2549 เขาได้นำทีมบุกสำนักงาน กกต. เปิดโปงหลักฐานการแก้ไขทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองย้อนหลัง เพื่อช่วยเหลือบางพรรคการเมืองให้มีการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ นำไปสู่การยกเลิกการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2549 และเป็นผลให้กรรมการ กกต.หลายคนต้องถูกพิพากษาจำคุก
แม้จะไม่มีสภาฯ ในระหว่างปี พ.ศ. 2549-2550 “พีระพันธุ์” ก็ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ เขาได้ใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายช่วยเหลือ พลเอกปฐมพงศ์ เกษรศุกร์ อดีตที่ปรึกษากองทัพไทย ยกร่างกฎหมายระเบียบข้าราชการทหารฉบับใหม่ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพสังคมปัจจุบัน โดยผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อ พ.ศ. 2550 และมีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. 2550 “พีระพันธุ์” ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.สมัยที่ 4 โดยได้คะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 ของเขตเลือกตั้งที่ 3 (ห้วยขวาง ดินแดง พญาไท) และได้ทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการหลายชุด อาทิ รองประธานคณะกรรมาธิการการทหารคนที่หนึ่ง, ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณานโยบาย งบประมาณ และประสิทธิภาพกองทัพ, ประธานคณะอนุกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามเว็บไซต์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ, รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณากฎหมายเวนคืนอสังหาริมทรัพย์, รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาคุณสมบัติผู้สมควรดำรงตำแหน่งกรรมการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน, และรองประธานคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2552 เป็นต้น
ด้วยความสนใจในกิจการด้านความมั่นคงและการทหาร “พีระพันธุ์” ได้ทำงานร่วมกับคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร มาหลายสมัยและหลายตำแหน่งหน้าที่ อาทิ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการทหาร (พ.ศ. 2540-2543), ประธานคณะอนุกรรมาธิการการทหารพิจารณาศึกษาสมรรถนะกองทัพในการป้องกันประเทศ (พ.ศ. 2541-2543), รองประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร (พ.ศ. 2548-2549), ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณางบประมาณและขีดความสามารถของกองทัพ (พ.ศ. 2548-2549), รองประธานคณะกรรมาธิการการทหารคนที่หนึ่ง (พ.ศ.2550-2551) , ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณานโยบาย งบประมาณ และประสิทธิภาพกองทัพ (พ.ศ. 2550-2551)
“พีระพันธุ์” ยังได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมทหารพรานที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ และตรวจแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดเขตแดนไปจนถึงเส้นแนวเขตแดนในทะเล อีกทั้งไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจทหารทุกเหล่าทัพในการปฏิบัติหน้าที่และแก้ไขปัญหาด้านขวัญกำลังใจของทหารหลักและทหารพรานอย่างต่อเนื่อง
สำหรับบทบาทด้านการตรวจสอบ “พีระพันธุ์” ได้ทำหน้าที่อภิปรายในสภาฯ อย่างเข้มแข็งทุกสมัย อาทิ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อปี พ.ศ. 2545 ในกรณีการซ่อมเฮลิคอปเตอร์ ฮ.6 จนส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสำคัญในกองทัพ การอภิปรายกรณีจ้างสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง OPV เมื่อปี พ.ศ. 2547 การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีต่างประเทศกรณีปราสาทพระวิหาร และการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกรณีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2551 เป็นต้น
ส่วนบทบาทในฐานะผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานครนั้น “พีระพันธุ์” ดูแลเอาใจใส่ชีวิตความเป็นอยู่ ประสานงานและสร้างเครือข่ายเพื่อแก้ไขปัญหาเดือดร้อนให้กับประชาชนและครอบครัว ตั้งแต่เกิดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตอย่างใกล้ชิด และเป็นที่ประจักษ์ของประชาชนในพื้นที่มาโดยตลอด
นอกจากนี้ “พีระพันธุ์” ยังทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการพิจารณากฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ ติดต่อกันตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 เป็นผู้ยกร่างนโยบายด้านการทหารและการป้องกันประเทศ นโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ นโยบาย “คดีทุจริตไม่มีอายุความ” เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้เด็ดขาด นโยบายที่อยู่อาศัยของประชาชนผู้มีรายได้น้อยเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตให้แก่ประชาชนในอนาคต และนโยบาย “กรุงเทพมหานคร” อีกทั้งยังเป็นเจ้าของความคิด “ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศและการดูแลสังคม”
ด้วยบทบาทและความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายอันโดดเด่นเป็นที่ยอมรับ “พีระพันธุ์” จึงได้รับการมอบหมายจากพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเงา” เมื่อต้นปี พ.ศ.2551 ก่อนที่จะได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม” ในรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551
ยุติธรรมเพื่อประชาชน
ที่ผ่านมา “พีระพันธุ์” ได้พบเห็นความเดือดร้อนของชาวบ้านจำนวนมากที่ไม่รู้กฎหมาย จนทำให้ตกเป็นเหยื่อของคนที่รู้มากกว่า บ้างก็ถูกเอารัดเอาเปรียบจนกระทั่งหมดตัว บ้านแตกสาแหรกขาด บางคนถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจจนเกินขอบเขตทำให้ต้องเดือดร้อนและไม่มีทางสู้ คนจำนวนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐเล่นงาน หรือหาประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม ชาวบ้านจำนวนมากต้องเสียใจเพราะลูกหลานติดยาเสพติด จนทำให้หมดอนาคตและต้องกลายเป็นเครือข่ายค้ายา หรือบางครั้งถูกปราบปรามจนเสียชีวิต หรือบางคนไม่ได้ตั้งใจทำความผิดคิดชั่ว แต่พลาดพลั้งทำให้ต้องติดคุกติดตะราง
เมื่อมีโอกาสได้เข้ามาทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เขาจึงมีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป หรือให้เหลือน้อยที่สุด พร้อมกับวางระบบป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาอีกในอนาคต ด้วยความหวังที่จะให้ประชาชนได้รับความยุติธรรมถ้วนหน้า และสังคมเกิดความสงบสุข
นั่นคือ “ความฝันอันสูงสุด” ของเขา
“พีระพันธุ์” ได้ริเริ่มโครงการหลากหลายที่ช่วยอำนวยความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนอย่างเสมอภาคภายใต้กรอบแนวคิด ‘ยุติธรรมเพื่อประชาชน’ โดยเฉพาะการหยิบยก ‘กองทุนยุติธรรม’ ขึ้นมาปรับนโยบายและหลักเกณฑ์ใหม่ เพื่อช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่าย ช่วยเหลือประชาชนในด้านกฎหมาย การฟ้องร้อง การดำเนินคดีหรือการบังคับคดี อีกทั้งยังให้ความ คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม จนสามารถช่วยเหลือประชาชน ผู้เดือดร้อนได้เกือบ 900 ครัวเรือน ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง
นอกจากนี้ “พีระพันธุ์” ยังได้ริเริ่มอีกหลายโครงการเพื่อสร้างโอกาสและความเป็นธรรม เช่น โครงการคืนคนดีสู่สังคม โครงการยุติธรรมเคลื่อนที่ โครงการอาสาสมัครพิทักษ์ยุติธรรม โครงการจัดตั้ง สน.ยุติธรรม โครงการจัดตั้งเครือข่ายยุติธรรมชุมชน การบูรณาการหน่วยงานต่อต้านยาเสพติด การอำนวยความเป็นธรรมในจังหวัดชายแดนใต้ การจัดตั้งสำนักบังคับคดีอาญาและบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้ง การคืนความเป็นธรรมให้แก่ผู้ที่ไม่ได้กระทำผิดในหลายกรณีที่มีการ “จับแพะ”
ในยุคสมัยของ “พีระพันธุ์” ยังนับเป็นครั้งแรกของกระทรวงยุติธรรมและของประเทศไทย ที่มีการออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อนำเงินที่ได้มาไปใช้คืนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พ.ศ.2477 มาตรา 5 ที่กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมออกกฎกระทรวงดังกล่าว และเป็น “พีระพันธุ์” ที่ดำเนินการร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ด้วยตนเอง เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขายทอดตลาดอย่างแท้จริง
“พีระพันธุ์” ยังเป็นผู้เสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญายกเลิกอายุความคดีทุจริต ซึ่งส่งผลให้คดีทุจริตไม่มีอายุความอีกต่อไป ทั้งนี้เพื่ออุดช่องว่างไม่ให้ผู้กระทำผิดหลีกเลี่ยงการรับโทษ และปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสร้าง “มิติใหม่” ในการจัดซื้อของกรมราชทัณฑ์ โดยให้ดำเนินการซื้อตรงจากหน่วยงานของรัฐในราคาพิเศษ ซึ่งสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในการหุงหาอาหารให้แก่นักโทษ ผู้ต้องขัง รวมทั้งเด็กและเยาวชนที่อยู่ในความดูแลของกรมราชทัณฑ์ได้เป็นจำนวนมาก ทำให้ประหยัดงบประมาณแผ่นดิน อีกทั้งยังเป็นการตัดช่องทางสำหรับการรั่วไหลหรือการทุจริตคอร์รัปชั่นได้อีกทางหนึ่งด้วย
ด้วยความชื่นชอบและมีพรสวรรค์ด้านการออกแบบ “พีระพันธุ์” ยังเป็นผู้ร่างแบบอาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ด้วยตนเอง ก่อนให้กองออกแบบรับไปดำเนินการออกแบบก่อสร้าง และอาคารสำนักงานกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่นี้ ยังมีข้อความจารึกที่เขาฝากไว้เป็นคติเตือนใจว่า “ยุติธรรมค้ำจุนชาติ”
นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ออกแบบเข็มเครื่องหมาย “ยุติธรรมธำรง” เพื่อแสดงวิทยฐานะและเชิดชูเกียรติแก่ผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตรผู้บริหารงานยุติธรรมระดับสูง (บธส.) ของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นอีกนโยบายของ “พีระพันธุ์” ในการเสริมสร้างและพัฒนาบุคลากรในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
>> ผลงานในตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม
“พีระพันธุ์” ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมาจนถึงวาระของการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2554 และเขาก็ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยที่ 5 ในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเปลี่ยนจากการเป็นแกนนำรัฐบาลมาเป็นฝ่ายค้านหลักในขณะนั้น
วิกฤตการเมืองในช่วงปี พ.ศ. 2556-2557 นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ และกว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้งก็ล่วงเข้าสู่ปี พ.ศ. 2562
ความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 ได้เปิดทางให้มีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ “พีระพันธุ์” ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.สมัยที่ 6 ในขณะนั้น จึงประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคด้วยเจตนามุ่งมั่นที่จะกอบกู้พรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นสถาบันการเมืองอย่างแท้จริง แต่ด้วยโชคที่ไม่เข้าข้าง เขาจึงไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างที่ตั้งใจ และได้ตัดสินใจลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2562
หลังลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และพ้นจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ‘พีระพันธุ์’ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ในตำแหน่ง
ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2562 และทำหน้าที่เป็นประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ด้วย
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 “พีระพันธุ์” ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) อีกทั้งยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และเป็นคณะผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการบริษัทการบินไทย เพื่อบริหารแผนฟื้นฟูกิจการสายการบินแห่งชาติให้เป็นไปอย่างยุติธรรมและโปร่งใส
เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2564 “พีระพันธุ์” ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐในวันถัดมา ไม่นานจากนั้น เขาได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2565 เนื่องจากจัดทำโครงสร้างพรรคให้เข้มแข็งเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ในระหว่างนี้ ‘พีระพันธุ์’ ยังสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงที่ช่วยปกป้องเงินภาษีประชาชนกว่า 25,000 ล้านบาท จากการรื้อฟื้นคดีมหากาพย์ ‘ค่าโง่โฮปเวลล์’ ที่คาราคาซังมากว่า 30 ปี ด้วยการสืบค้นหลักฐานและข้อพิรุธต่างๆ เพื่อต่อสู้คดีนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ทั้งในชั้นสภาผู้แทนราษฎร ผู้ตรวจการแผ่นดิน ศาลรัฐธรรมนูญ ไปจนถึงศาลปกครองสูงสุด จนกระทั่ง ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2565 ให้พิจารณาคดีนี้ใหม่ และต่อมาในวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2565 ศาลปกครองกลางก็ได้มีคำสั่งให้งดการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่เคยให้ภาครัฐต้องจ่ายเงินชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัทโฮปเวลล์ฯ รวมกว่า 25,711 ล้านบาท จนกว่าการพิจารณาคดีใหม่จะได้ข้อยุติ ต่อมา ศาลปกครองกลางได้ดำเนินการพิจารณาคดีใหม่ และมีคำตัดสินเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2566 เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย ชดใช้ค่าเสียหายแก่ บริษัทโฮปเวลล์ฯ เนื่องจากการใช้สิทธิเรียกร้องของบริษัทดังกล่าวขาดอายุความตามกฎหมาย (อ่านรายละเอียดการรื้อฟื้นคดีค่าโง่โฮปเวลล์)
การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของ “พีระพันธุ์” ยังคงดำเนินต่อไป โดยเขาได้รับแต่งตั้งจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ (ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2565) เพื่อประโยชน์ในการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนผู้ร้องเรียนและผู้ร้องทุกข์ และการอำนวยความเป็นธรรมให้ประชาชนโดยเร็ว
‘รวมไทยสร้างชาติ’
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของการเมืองไทย “พีระพันธุ์” ได้เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ จากการลงมติในที่ประชุมใหญ่วิสามัญพรรครวมไทยสร้างชาติเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565 ด้วยความมุ่งหวังที่จะสร้างพรรคการเมืองของประชาชนและเป็นสถาบันการเมืองที่ทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
“พีระพันธุ์”เข้ามาปรับโครงสร้างและภาพลักษณ์ของพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ด้วยการคัดสรรผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันมาทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน ภายใต้สโลแกน “สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง สร้างสังคมเท่าเทียม” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสดำรงชีวิตในทุกมิติอย่างเท่าเทียมกัน
แม้แต่โลโก้ของพรรค “พีระพันธุ์” ก็ยังเป็นผู้ออกแบบด้วยตนเอง โดยใช้สัญลักษณ์แถบสีธงชาติไทยแผ่เป็นฐานจากทั้งสองด้านแล้วพุ่งขึ้นบรรจบกันเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมปลายแหลม เพื่อให้สื่อความหมายถึง การหลอมรวมใจของชาวไทยทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ทุกภูมิภาคที่ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว และถ่ายทอดจุดยืนของพรรคในการร่วมมือกันอย่างมุ่งมั่นสมัครสมานที่จะพาปวงชนชาวไทยให้ก้าวข้ามอุปสรรคความขัดแย้ง พร้อมนำประเทศชาติมุ่งสู่อนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ขณะเดียวกันนั้น “พีระพันธุ์” ก็มีโอกาสได้ทำงานใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากขึ้น โดยได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 324/2565 เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2565
หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2565 และเข้าดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค รวมทั้งตำแหน่งแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ลำดับที่ 1 ของพรรครวมไทยสร้างชาติ “พีระพันธุ์” ในฐานะหัวหน้าพรรคและแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 2 ก็นำผู้สมัครของพรรครวมไทยสร้างชาติลงชิงชัยในสนามเลือกตั้งเคียงข้าง พล.อ.ประยุทธ์ หรือ “ลุงตู่” ของคนไทย ภายใต้แคมเปญ “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” เพื่อสานต่อสิ่งที่รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้วางรากฐานไว้ รวมทั้งการนำเสนอนโยบายใหม่ ๆ ภายใต้ความคิดริเริ่มของเขา (อาทิ “กองทุนประชาชน” “บัตรสวัสดิการพลัส” “แก้กฎหมายให้ที่ทำกิน” "น้ำมันเสรี" และ “ปลดหนี้ด้วยงาน” เป็นต้น) เพื่อสร้างโอกาสและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน เพื่อความมั่นคงสงบสุขของประเทศ และที่สำคัญ เพื่อธำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็น 3 เสาหลักของบ้านเมือง
ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 “พีระพันธุ์” ซึ่งเป็นผู้สมัคร ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยที่ 7 แต่ต่อมา เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2566 เขาได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อความสะดวกในการดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีตามกฎหมาย และยืนยันที่จะอยู่เคียงข้าง “ลุงตู่” จนวินาทีสุดท้ายของการทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เมื่อการเมืองเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลอีกครั้ง 'พีระพันธุ์' ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในยุครัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 ซึ่งเป็นอีกจังหวะของการทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติตามปณิธานและความเชื่อมั่นของเขาที่ว่า "ยุติธรรมค้ำจุนชาติ" และเขายังไม่หยุดที่จะต่อสู้...เพื่อความเป็นธรรมของประชาชน...เพื่อปกป้องสถาบันหลักของชาติ...และเพื่อประโยชน์สูงสุดของบ้านเมือง
พ.ศ. 2502
เกิดที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ พลโทณรงค์ สาลีรัฐวิภาค อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ เจ้ากรมการพลังงานทหาร และผู้อำนวยการองค์การเชื้อเพลิง และ นางโสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค (นามสกุลเดิม: สุมาวงศ์) อดีตดาวจุฬาฯคนแรก
พ.ศ. 2508-2519
ศึกษาในระดับประถมและมัธยมที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
พ.ศ. 2520-2524
ศึกษาในระดับปริญญาตรี นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พ.ศ. 2524-2525
ศึกษาต่อในระดับเนติบัณฑิต (เนติบัณฑิตไทย รุ่นที่ 34) สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
พ.ศ. 2526-2528
ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ด้านกฏหมายเปรียบเทียบ และกฏหมายอเมริกันทั่วไป ที่ Tulane University, New Orleans, Louisiana, USA
พ.ศ. 2529-2535
เข้ารับราชการเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรม ก่อนย้ายไปเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดตาก ผู้พิพากษาศาลจังหวัดธัญญบุรี ผู้พิพากษาประจำกระทรวง (ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการกองวิชาการ สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ กระทรวงยุติธรรม) และผู้พิพากษาประจำกระทรวง (ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลแพ่ง) ตามลำดับ
พ.ศ. 2535
เข้าสู่เวทีการเมือง โดยลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 3 (พญาไท จตุจักร ทุ่งสองห้อง) สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้คะแนนเสียงเป็นลำดับที่ 4 จากจำนวนที่นั่ง ส.ส. เขตทั้งหมด 3 ที่นั่ง
พ.ศ. 2535 – 2536
เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
พ.ศ. 2536 – 2537
เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
พ.ศ. 2537 – 2538
เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
พ.ศ. 2538 – 2539
เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
พ.ศ. 2539-2544
ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 5 ห้วยขวาง ดินแดง คลองเตย (แขวงคลองเตยเหนือ) และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยแรก สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในปี 2539
เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง (รัฐบาลนายชวน หลีกภัย)
มีบทบาทสำคัญในการยกร่างกฎหมายสำคัญหลายฉบับ อาทิ พ.ร.บ. ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อ หน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ( ‘พ.ร.บ.ฮั้วประมูล’ ) และการเสนอร่างกฎหมายการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
ทำหน้าที่กรรมาธิการ และเลขานุการคณะกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร (พ.ศ. 2540-2543)
เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการการทหารพิจารณาศึกษาสมรรถนะกองทัพในการป้องกันประเทศ (พ.ศ. 2541-2543)
พ.ศ. 2544 – 2548
ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยที่ 2 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ในปี 2544
เป็นประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร
สร้างผลงานมากมายจนได้ฉายา “มือปราบทุจริต” อาทิ การสอบสวนคดีจัดซื้อปุ๋ยอินทรีย์ปลอม การสอบสวนกรณีการจัดซื้ออาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการสอบสวนการทุจริตคดี "ค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท" ซึ่งสามารถช่วยปกป้องผลประโยชน์ของชาตินับหมื่นล้านบาท
เป็นผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อ พ.ศ. 2545 กรณีการซ่อมเฮลิคอปเตอร์ ฮ.6 และกรณีจ้างสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง OPV เมื่อ พ.ศ. 2547
พ.ศ. 2548-2549
ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ 3 ในปี พ.ศ. 2548
เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร
เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณางบประมาณและขีดความสามารถของกองทัพ
พ.ศ. 2549-2550
นำทีมบุกสำนักงาน กกต. เปิดโปงหลักฐานการแก้ไขทะเบียนสมาชิกพรรคการเมืองย้อนหลังเพื่อช่วยเหลือให้มีการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ นำไปสู่การยกเลิกการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2549 และเป็นผลให้กรรมการ กกต.หลายคนต้องติดคุก
ช่วยเหลือ พลเอกปฐมพงศ์ เกษรศุกร์ อดีตที่ปรึกษากองทัพไทย ยกร่างกฎหมายระเบียบข้าราชการทหารฉบับใหม่ ซึ่งมีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการพิจารณากฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์
พ.ศ. 2550 – 2551
ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยที่ 4 ในปี พ.ศ. 2550 โดยได้คะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 ของเขต 3 (ห้วยขวาง ดินแดง เขตพญาไท)
ทำหน้าที่รองประธานคณะกรรมาธิการการทหาร คนที่หนึ่ง
ทำหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณานโยบาย งบประมาณ และประสิทธิภาพกองทัพ
ทำหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามเว็บไซต์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ทำหน้าที่รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณากฎหมายเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
ทำหน้าที่รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาคุณสมบัติผู้สมควรดำรงตำแหน่งกรรมการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ทำหน้าที่รองประธานคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552
เป็นหนึ่งในผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีต่างประเทศกรณีปราสาทพระวิหาร และอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกรณีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2551
ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมทหารพรานที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ และตรวจแนวชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนวจนถึงเส้นแนวเขตแดนในทะเล
ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจทหารทุกเหล่าทัพในการปฏิบัติหน้าที่และแก้ไขปัญหาด้านขวัญกำลังใจของทหารหลักและทหารพรานอย่างต่อเนื่อง
เป็นผู้ยกร่างนโยบายด้านการทหารและการป้องกันประเทศ นโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ
เป็นผู้ร่างนโยบาย “คดีทุจริตไม่มีอายุความ” เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้เด็ดขาด
เป็นผู้ร่างนโยบายที่อยู่อาศัยของประชาชนผู้มีรายได้น้อยเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตให้แก่ประชาชนในอนาคต และนโยบาย “กรุงเทพมหานคร”
เป็นเจ้าของความคิด “ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศและการดูแลสังคม”
ได้รับเลือกจากที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ให้ทำหน้าที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเงา เมื่อต้นปี พ.ศ. 2551
พ.ศ. 2551 – 2554
ได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551
เป็นผู้ริเริ่มหลากหลายโครงการที่ช่วยอำนวยความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนอย่างเสมอภาคภายใต้กรอบแนวคิด ‘ยุติธรรมเพื่อประชาชน’
พ.ศ. 2554 – 2556
ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยที่ 5 ในปี พ.ศ. 2554
พ.ศ. 2562
ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. สมัยที่ 6 ในปี 2562
ยื่นหนังสือลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2562
ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2562
เป็นประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร
พ.ศ. 2563
เป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.)
ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน)
เป็นคณะผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) (พฤษภาคม 2563 – มิถุนายน 2564)
พ.ศ. 2564 – 2565
สมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2564 และได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐในวันถัดมา
ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐและสมาชิกพรรคพลังประชารัฐเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2565 เนื่องจากจัดทำโครงสร้างพรรคให้เข้มแข็งเสร็จเรียบร้อยแล้ว
พ.ศ. 2565
สร้างผลงานชิ้นโบว์แดงที่ช่วยปกป้องเงินภาษีประชาชนกว่า 25,000 ล้านบาท จากการรื้อฟื้นคดีมหากาพย์ ‘ค่าโง่โฮปเวลล์’ ที่คาราคาซังมากว่า 30 ปี ด้วยการสืบค้นหลักฐานและข้อพิรุธต่างๆ เพื่อต่อสู้คดีนี้มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2562 จนกระทั่ง ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 ให้พิจารณาคดีโฮปเวลล์ใหม่ และต่อมาในวันที่ 14 มีนาคม 2565 ศาลปกครองกลางก็ได้มีคำสั่งให้งดการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่เคยให้ภาครัฐต้องจ่ายเงินชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัทโฮปเวลล์ฯ รวมกว่า 25,711 ล้านบาท
ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2565 เพื่อประโยชน์ในการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนผู้ร้องเรียนและผู้ร้องทุกข์ และการอำนวยความเป็นธรรมให้ประชาชนโดยเร็ว
ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ตามมติที่ประชุมใหญ่วิสามัญของพรรค เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2565
ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565
พ.ศ. 2566
ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 สังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ และได้รับเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566
ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อความสะดวกในการดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2566
ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566